Thananan
  • 7

มีเรื่องมาเล่าให้ฟังคับ เรื่องแนวฆาตกรรม มีเพื่อนๆชอบเรื่องพวกนี้ไหมครับ

  • 7

ในเดือนสิงหาคม 2018 ตอนนั้นได้เกิดคดีที่เรียกได้ว่าโด่งดังมากๆในบนโลกอินเทอร์เน็ต และ ก็ดังมากๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา มันคือคดีการหายตัวไปของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอชื่อว่า ชาแนน วัตต์ ( Shanann Watts ) ตอนนั้นเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 15 สัปดาห์ เธอหายไปพร้อมกับลูกสาวของเธอ 2 คน ชื่อว่า เบลล่า  ( Bella ) อายุ 4 ขวบ และ เซเลส ( Celeste ) อายุ 3 ขวบ

โดยที่สุดท้ายที่พบเห็นเธอนั้นก็คือในบ้านเธอเอง ตำรวจได้เข้ามาสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า นี่ไม่ใช่แค่การหายตัวไปอย่างปกติ แต่นี่มันคือ การฆาตกรรมอำพราง แล้วฆาตกรก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือ สามีของเธอเอง คริสโตเฟอร์ ลี วัตต์ ( Christopher Lee Watts ) ที่ทำการสังหารภรรยาด้วยการบีบคอจนขาดอากาศหายใจ และ ฆาตกรรมลูกๆ เขาทั้งสองคน ด้วยการทำให้ขาดอากาศหายใจเช่นเดียวกัน

จากนั้นอำพลางศพของทั้ง 3 คนเไว้ในที่ทำงาน คริสโตเฟอร์ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมบ่อน้ำมันดิบ ศพของลูกสาวทั้งสองคนก็เอาไปอำพรางในบ่อทั้ง 2 บ่อ แยกกันคนละบ่อ ส่วนศพของภรรยา คริสโตเฟอร์ไปขุดหลุมฝังศพในบริเวณแถวๆฟิวส์งานของเขานั่นเอง ครอบครัวที่กำลังจะได้ลูกคนที่ 3 ครอบครัวที่ดูเหมือนทุกอย่างมันก็เพอร์เฟคไปหมดทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

มาดูที่ภูมิหลังของครอบครัว วัตต์ กันก่อน เริ่มต้นที่สามีกันก่อน คริสโตเฟอร์ ลี วัตต์ เขาเป็นชายหนุ่มที่เติบโตในเมือง Spring Lake Noth Carolina เกิดในวันที่ 16 พฤษภาคม 1985 คุณพ่อของเขาเนี่ยชื่อว่า รอนนี่ วัตต์ ( Ronnie Watts ) และคุณแม่เขาชื่อว่า ซินดี้ วัตต์ ( Cindy Watts )

ในสมัยเด็กๆ คริสโตเฟอร์ เขาเป็นเด็กดีชอบเล่นกีฬา ชอบรถยนต์ โตขึ้นมาหน่อยครับเขาก็ไปเรียนที่มหาลัย Miami University จนจบคณะวิศวกรรมเคมี หลังจากนั้นมาก็ทำงานทางด้านช่างแมคคานิคมาโดยตลอด ส่วนฝั่งภรรยานะครับก็คือ ชาแนน วัตต์ ( Shanann Watts ) ว่าไงครับด้วยนามสกุลเก่าของเธอแล้วก็คือ ชาแนน แคทเทอรีน รูเส็ก ( Shannann Cathryn Rzucek ) เกิดในวันที่ 10 มกราคมปี 1984 เติบโตที่เมือง Aberdeen North Carolina เช่นเดียวกัน โดยมีคุณพ่อที่ชื่อว่า แฟร้งค์ รูเส็ก ( Frank Rzucek ) แล้วก็มีคุณแม่ที่ชื่อว่า แซนดร้า รูเส็ก ( Sandra Rzucek ) และมีน้องชายชื่อว่า แฟร้งค์กี้ รูเส็ก ( Frankie Rzucek )

อันนี้จริงแล้ว ชาแนนเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว 1 ครั้งแต่เนื่องด้วยเธอป่วยเป็นโรค sle Systemic Lupus Erythematosus ถ้าประเทศไทยเราก็จะรู้จักในนามโรคพุ่มพวง หรือว่าบางคนอาจจะรู้จักในนามโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง โรคนี้มักจะเกิดในกลุ่มสาวๆแรกรุ่น วัยกำลังเจริญพันธุ์อะไรประมาณนี้ มันเป็นโรคที่ปกติภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราต้องปกป้องเรา แต่โรคนี้ภูมิคุ้มกันมันจะไปทำลายเนื้อเยื่อ หรือว่าอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่นไปเกาะไตก็จะทำให้ไตเสื่อม ไตวายเร็วขึ้น ไปเกาะผิวหนังทำให้เกิดผื่น ไปเกาะข้อทำให้ปวดข้ออะไรประมาณนี้ ซึ่งชาแนนก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้มา แล้วก็ต้องต่อสู้กับโรคนี้ ทำให้เธอไม่สามารถจะมีลูกให้กับสามีคนเก่าเธอได้ก็เลยทำให้เกิดการหย่ากันขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ปณิธานว่าเธอเน็ตจะใช้ชีวิตให้มีความสุข จะอยู่กับครอบครัวแล้วก็จะตั้งใจทำงาน ก็คงจะยังไม่มองหาความรักใหม่ๆ โดยตอนนั้นเธอก็ทำอาชีพในการเป็นเป็นเซลล์ขายตรง ต่อจากนั้นในปี 2009 ทั้งคู่ก็ได้มาเจอ โดยคริสโตเฟอร์  เป็นคนส่ง friend Request ทางด้าน Facebook หน่อยครับไปให้ ชาแนน ก่อน และ ชาแนนก็เลยตกใจว่า ผู้ชายคนนี้คือใคร แต่ก็รับไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ไปออกเดทกัน และก็ทั้งคู่ก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กันขึ้น จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันที่เมือง Mecklenburg County ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2012 หลังจากแต่งงานกันแล้วในปี 2013 ทั้งคู่ตัดสินใจในการย้ายออกมาจากรัฐ North Carolina เพื่อไปหาถิ่นฐานใหม่ ก็เลยตัดสินใจกันไปที่เมือง Frederick Colorado ตอนไปช่วงแรกๆ ในต้นปี 2013 บ้านที่กำลังสร้างมันยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้เธอเนี่ยต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนของเธอก่อน และทีนี้ในเดือนพฤษภาคมของปี 2013 นั้นบ้านเสร็จแล้ว เธอจึงสามารถย้ายเข้าไปในบ้านหลังนั้น บ้านหลังนี้มีมูลค่าประมาณ 400 ดอลลาร์กันเลยทีเดียว

โดยในวันที่ 17 ธันวาคม 2013 ชาแนน ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก โดยเธอตั้งชื่อว่า เบลล่า แมรี่ วัตต์ ( Bella Marie Watts ) โดยการมีลูกคนแรกครั้งนี้ เธอใช้เทคนิคทางการแพทย์ในการช่วยเหลือในการตั้งครรภ์ เพราะอย่างที่บอกเนื่องด้วยเธอเป็น sle ถ้าจะต้องตั้งครรภ์ก็จะต้องปรึกษาแพทย์ แล้วก็จะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เสมอ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็มีลูกสาวที่น่ารักคนหนึ่งขึ้นมาได้ โดยช่วงแรกๆที่ย้ายมาอยู่โคโลราโด่ ทั้งสองคนจะทำงานที่เมือง Longmont หลังจากนั้นคริสโตเฟอร์เนี่ยก็ได้งานใหม่ที่ Anadarko Petroleum ทำให้ ชาแนน ก็ต้องย้ายมาทำงานในบริเวณละแวกนั้น ก็เลยตัดสินใจไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ในโรงพยาบาลเด็กแห่งนึง

ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2015 ทั้งคู่ก็ต้องดีใจครับเพราะว่าเขาได้ให้กำเนิดลูกสาวคนที่ 2 ที่ชื่อว่า เซเลส แคทเทอรีน วัตต์ ( Celeste Cathryn Watts ) ก็ใช้การช่วยเหลือทางการแพทย์เหมือนเดิมในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ และก็การคลอดครั้งนี้อาจจะโชคร้ายนิดนึงเพราะว่า  เซเลส เกิดมาพร้อมกับภาวะที่เรียกว่า Narrow Esophagus คือการเป็นหลอดอาหารตีบแคบตั้งแต่เกิด ทำให้จะต้องได้รับการผ่าตัด และก็ต้องได้รับการดูแลหลังผ่าตัดหลายขั้นตอน ทั้งครอบครัวในก็เลยต้องใช้เงินไปกับเรื่องนี้จำนวนมาก และจากนั้นไม่นาน เด็กทั้ง 2 คนก็ได้รับการวินิจฉัยเป็นเป็นโรคภูมิแพ้ถั่ว ก็จะกินถั่วไม่ค่อยได้ เพราะว่าเป็นภูมิแพ้ถั่วอย่างแรง ถ้าเกิดคนปกติคนเป็นโรคแพ้อาหารอาจจะเป็นแค่ผื่นคัน หน้าบวม ตาบวม ปากบวม แต่ในน้องทั้งสองคนเลย มันจะมีผลไปถึงขั้นทำให้หลอดลมตีบแคบเลยมันแรงถึงขั้นนั้นเลย ครอบครัววัตต์ทั้งสามี และภริยามีรายได้รวมกันประมาณ 90,000 เหรียญต่อปี แต่ว่าครอบครัวก็จะต้องมีภาระในใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นของลูกที่ป่วย และของคุณแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง  ดังนั้นทำให้ครอบครัวนี้จะต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างเดียวประมาณ 2,700 ดอลลาร์ต่อเดือน และนอกจากนั้นก็ยังมีหนี้บัตรเครดิตต่างๆอีก ก็คนมันต้องกินต้องใช้ต้องซื้อของ มันก็ต้องมีหนี้บัตรเครดิตที่มันพอกพูนขึ้นมาด้วย แล้วก็วันดีคืนดีชาแนนมันก็ต้องได้รับการผ่าตัดกระดูกคอ เพราะว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก การผ่าตัดเสียเงินไปประมาณ 25,000 เหรียญ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล มันทำให้ครอบครัวนี้โดนฟ้องล้มละลาย เพราะว่ามีหนี้สินมากถึง 448,820 เหรียญดอลล่าสหรัฐ ก็เลยทำให้ศาลฟ้องทั้งคู่ให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต่อมาในปี 2016 ด้วยความมุ่งมั่นอุตสาหะมานะของทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยาที่จะต้องทำให้ครอบครัวมันดีขึ้น ชาแนนได้ไปสมัครเป็น direct sale ในบริษัทหนึ่งที่ชื่อว่า LeVel และเธอก็ก้าวกระโดดตำแหน่งไปเรื่อยๆจนเป็น Top 5 ของบริษัท พราะว่าเธอเป็นคนขายเก่ง แล้วก็เป็นคนเฟรนลี่ใครๆก็อยากจะคุยด้วย ใครๆก็อยากจะซื้อผลิตภัณฑ์ และก็เธอเป็นคนที่เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจลูกค้า ก็ทำให้เธอมีลูกค้าเยอะมาก บริษัทก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเธอ จนทำให้เธอทำไปทำมาได้เงินประมาณ 60,000 – 70,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แถมยิ่งกว่านั้นเธอยังประสบความสำเร็จได้ไปลงในนิตยสารเกี่ยวกับครอบครัว เธอก็เอาครอบครัวที่น่ารักของเธอไปสัมภาษณ์ เอาลูกเอาสามีไป แถมการงานเธอก็ยังมั่นคงแล้วก็กำลังไปได้สวยในตอนนั้น เพราะฉะนั้นบริษัทนั้นก็ยังเอารถ Lexus ให้เธออีก 1 คันด้วย และนี่เป็นข้อมูลพื้นฐานของครอบครัวนี้

สำหรับต่อไปก็จะมาพูดถึงสาเหตุของการทะเลาะกันของทั้งคู่ ในวันที่ 1 กันยายน 2017 Nicole Kessinger เธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของคริสโตเฟอร์ได้ Search ชื่อของชาแนน วัตต์ในอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก พักไว้ตรงนี่ก่อน จำไว้ว่ามีตัวละครมาใหม่ที่ชื่อว่า นิโคล เคสซิงเกอร์  ( Nicole Kessinger )

มาเริ่มกันที่วันที่ 29 พฤษภาคม 2018 คริสโตเฟอร์ ก็ได้รับข่าวดี เพราะว่าตอนนี้ชาแนนกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 โดยครั้งนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคทางการแพทย์ช่วยทั้งสิ้น มันเป็นความรักของทั้งคู่ แล้วมันก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากนั้นในวันที่ 22 มิถุนายนปี 2018 บริษัทของชาแนนได้ให้ตั๋วในการบินไปทำงานพร้อมครอบครัว ก็คือไปทั้งทำงานแล้วก็พักผ่อนที่ซานดิเอโก้ประมาณ 5 วันเธอก็เอาลูกแล้วก็สามีไปด้วย ไปทำงานด้วยไปพักผ่อนด้วย โดยตอนนั้นคริสโตเฟอร์ก็ดูแลอย่างดีเลย แล้วก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่ ชาแนนก็ยังวางแผนว่าเธอจะจัดปาร์ตี้เฉลยเพศของลูก ในวันที่ 19 สิงหาคม 2018 ในบางประเทศจะมีการจัดปาร์ตี้อย่างเช่น ถ้าสมมุติไปอัลตร้าซาวด์แล้วได้ลูกชายหรือลูกสาวก็จะมีการจัดปาร์ตี้เพื่อบอกเพศให้ให้กับสามีได้รู้ เพราะในวันที่ 5 สิงหาคม 2018 ชาแนน มีนัดอัลตร้าซาวด์กับหมอก็เลยจะทำให้รู้เพศได้

ในวันที่ 27 มิถุนายนปี 2018 ครอบครัว วัตต์ ก็บินจากซานดิเอโก้ กลับมาที่ โคโลลาโด่ ก็คือกลับมาบ้านตัวเอง แต่หลังจากนั้นชาแนนก็ได้พาลูกๆของเธอ เบลล่า และ เซเลส บินไปพักผ่อนต่ออีกประมาณ 6 สัปดาห์ที่บ้านเกิดของเธอที่นอร์ทแคโรไลนา ก็เหมือนพาหลานๆไปเจอตากับยาย แต่คริสโตเฟอร์ ไม่ได้ไปด้วยเพราะว่าเขาจะต้องอยู่เคลียร์งาน แล้วก็ที่ทำงานก็ไม่ได้อนุญาตให้เขาไปนานขนาดนั้น แต่ก็ยังวางแผนว่าจะตามภรรยาไปในอาทิตย์สุดท้าย

ในวันที่ 30 มิถุนายน 2018 คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้ค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับ Bandimere speedway และก็ในสัปดาห์แรกที่ชาแนน วัตต์เธอได้เป็นพักร้อน 6 อาทิตย์ ก็คือทั้งสองคนต้องอยู่แยกกัน ชาแนนอยู่รัฐนอร์ทแคโรไลนา และ คริสโตเฟอร์ อยู่รัฐโคโรลาโด ชาแนนรู้สึกว่าสามีของเธอเปลี่ยนไป ก็คือโทรศัพท์ไปก็ไม่ค่อยรับสายตอบข้อความก็ช้าลง แล้วก็ไม่ค่อยใส่ใจ เช่นโทรไปไม่รับสายก็ควรจะโทรกลับ แต่สามีเธอก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นเธอก็เริ่มตะหงิดใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

วันที่ 4 เดือนกรกฎาคมปี 2018 นิโคล เคสซิงเกอร์ เธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของคริสโตเฟอร์ วัตต์ เธอได้เป็นบ้านของคริสโตเฟอร์ วัตต์ครั้งแรก ตอนนั้นเธอบอกว่าเธอไปเพราะอยากให้คริสโตเฟอร์วางแผนการลดน้ำหนักให้เธอ ก็เลยไปหากันที่บ้าน

วันที่ 7 เดือนกรกฎาคมปี 2018 นิโคล เคสซิงเกอร์ กับ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้โทรศัพท์คุยกันครั้งแรก ใน

วันที่ 8 เดือนกรกฎาคมปี 2018 สัญญาณความตึงเครียดของคริสโตเฟอร์ วัตต์ กับ ชาแนน วัตต์ เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มทะเลากันมากขึ้นเรื่อยๆ ชาแนนรู้สึกระแวงมากขึ้น และก็มีการไปค้นข้อมูลว่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ กับ ชาแนน วัตต์ ได้มีการพูดคุยกันอย่างไรบ้าง โดยชาแนนถามคริสต์ว่า “คุณโอเคหรือเปล่า เหมือนคุณไม่ค่อยอยากคุย ฉันต้องพยายามที่ต้องทำให้คุณพูดกับฉันด้วยหรอ” คริสโตเฟอร์ก็ตอบว่า “ผมสบายดีที่รัก หลายวันก่อนที่ทำงานน่ะ มีเรื่องให้ผมต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับคนใหม่หลายอย่างเลย ผมไม่ได้อยากพูดห้วนๆกับคุณเลยนะ ผมรักคุณมาก”ชาแนนก็ตอบกลับมาว่า “ฉันคิดถึงคุณ และฉันรู้สึกเหมือนคุณแค่อยากจะออกกำลังกายกับวิ่งแค่นั้นแหละ” คริสโตเฟอร์ก็ตอบกลับไปว่า “การวิ่งช่วยทำให้สมองโล่งนะ แล้วก็มันปลดปล่อยสิ่งต่างๆออกไปได้” แต่ชาแนนก็ยังไม่ค่อยเชื่อข้ออ้างนั้น และพูดต่อไปว่า “ฉันแค่อยากให้สามีคุยกับฉัน”

ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2018 คริสโตเฟอร์ วัตต์ กับ นิโคล เคสซิงเกอร์ ทั้งสองคนได้ไปออกเดทกันที่พิพิธภัณฑ์รถยนต์แห่งหนึ่ง และหลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกันต่อ ซึ่งในวันนั้น คริสโตเฟอร์ ไม่ได้รับสายของชาแนนถึง 4 สายเลยทีเดียว และหลังจากกลับบ้านมาไปออกเดทมาเรียบร้อยแล้วก็ค่อยโทรกลับ ทั้งคู่เลยคุยกันแล้วก็เริ่มทะเลาะกัน โดยคริสโตเฟอร์ เริ่มเปิดใจว่าที่จริงเขาไม่ค่อยอยากจะมีลูกคนที่ 3 หรอก เขามีความสุขกับลูกแค่ 2 คนก็ดีแล้ว เหมือนจะหาข้ออ้างอะไรมาพูดก็เลยทำให้ทะเลาะกัน

ต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2018 เป็นวันเกิดของเซเลสลูกคนที่สองของครอบครัวนี้ ชาแนน วัตต์ ก็เลยถ่ายวีดีโอ Happy Birthday แล้วก็เอาโพสลง Facebook เพื่อคิดว่าสิ่งนี้มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้สามีของเธอกลับมาสนใจครอบครัว แล้วก็กลับมาสนใจในตัวเธอได้ และหลังจากนั้นยังมีการคุยกันว่าเรา 2 คนจะต้องหาทางออกกัน มันไม่สามารถจะเป็นอย่างนี้ได้ ไม่สามารถจะทะเลาะกันอย่างนี้ได้ เห็นแก่ลูกหน่อยอะไรประมาณนั้น ก็เลยจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านความสัมพันธ์ จะได้ปรับนิสัยหรือว่าปรับความสัมพันธ์ในครอบครัว ตรวจสอบว่าตอนนี้มันอยู่จุดไหนของกันและกัน และสามารถจะปรับเข้าหากันได้มากน้อยแค่ไหน แต่คริสโตเฟอร์ตอบปฏิเสธ ทำให้ชาแนนงงว่า ทำไมสามีเธอถึงไม่อยากจะทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย ทำไมถึงปฏิเสธ

วันที่ 18 กรกฎาคม 2018 นิโคล เคสซิงเกอร์ ได้ส่งรูปนู๊ดของเธอให้กับคริสโตเฟอร์เป็นครั้งแรก ปกติถ้าเราได้ลูกนู๊ดของแฟนเราก็จะเซฟในเครื่องของเราแล้วก็ใส่รหัสผ่านมือถือ แต่คริสโตเฟอร์คิดว่ามันจะทำให้น่าสงสัย เขาก็เลยไปโหลดแอปมาซึ่งเป็นแอปที่หน้าตาเหมือนเครื่องคิดเลข แต่ที่จริงแล้วมันเป็นแอปเก็บรูป ก็คือจะดึงเอารูปนู้ดของนิโคล เคสซิงเกอร์ ที่ส่งมาเอาไปเก็บในแอปนั้น ทำให้เวลาชาแนนเวลามาค้นมือถือก็จะไม่เจอรูป

ในวันที่ 21 กรกฎาค 2018 คริสโตเฟอร์ กับ นิโคล ที่เป็นกิ๊กกันอยู่ได้พากันไปดูรถแข่งกันที่ Bandimere speedway เป็นสถานที่ ที่คริสโตเฟอร์ เคยค้นหามาก่อนหน้านี้ก็ไปออกเดทกันอีก หลังจากนั้นมานับตั้งแต่วันที่ 21เป็นต้นมา คริสโตเฟอร์ก็คุยกับทั้งสองคนเลย คุยกับเมียด้วย คุยกับกิ๊กด้วย ก็สลับกันไปมา แต่การคุยกับชาแนนก็มัดจะทะเลาะกันเป็นส่วนใหญ่นะไม่ได้คุยกันดีๆ

วันที่ 28 กรกฎาคม 2018 คริสโตเฟอร์ก็ไปออกเดทกับนิโคล เคสซิงเกอร์ อีกครั้งเป็นการเปลี่ยนกิจกรรมโดยเป็นแบบแอดเวนเจอร์ ไปตั้งแคมป์ใน Great Sand Dunes National Park ก็คือไปค้างคืนด้วยกัน เหมือนการสั่งลาเลย เพราะว่าวันที่ 30 คริสโตเฟอร์จะต้องบินไปสมทบกับชาแนน ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนาในอาทิตย์สุดท้ายที่ได้สัญญาเอาไว้แล้ว

ในวันที่ 30 กรกฎาคมปี 2018 วันนี้คริสโตเฟอร์จะต้องบินไปสมทบกับครอบครัวที่นอร์ทแคโรไลนา แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะเขียนจดหมายรักให้กับ นิโคล เคสซิงเกอร์ คือโดยเขาเขียนจดหมายเป็นเนื้อเพลง Down to Earth ของวง turn the rude

และหลังจากนั้นก็บินไปสมทบกับครอบครัวที่นอร์ทแคโรไลนา แต่หลังจากการที่เจอกันของครอบครัวแทนที่เราไม่ได้เจอเมียรักนานหลายอาทิตย์เราก็ควรจะดีใจ หรือว่ามีความสุขกับครอบครัว แต่คริสโตเฟอร์กลับทำนิ่งๆ เฉยๆ เงียบๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ก็ยิ่งทำให้ชาแนนต้องสงสัย ว่าอะไรทำให้สามีเราเปลี่ยนไปขนาดนี้

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2018 คริสโตเฟอร์แอบถ่ายรูปสร้อยแล้วก็ส่งให้ นิโคล เคสซิงเกอร์ ถามว่าเธออยากได้ไหมจะซื้อไปให้นะ

ในวันที่ 4 สิงหาคม 2018 นิโคล เคสซิงเกอร์ เริ่มค้นหาในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องชุดแต่งงาน แล้วก็เริ่ม ค้นหา Facebook Profile ของชาแนน วัตต์ ซึ่งในระหว่างนั้นชาแนนก็เริ่มสงสัยแล้วว่าคริสโตเฟอร์ วัตต์อาจจะต้องมีคนใหม่แน่นอน อาจจะนอกใจเธอแน่นอน และอีกความคิดชาแนนก็คิดว่าหรือว่ามันมาจากอีกเรื่องนึงก็คือ ชาแนนได้ไปทะเลาะกับพ่อแม่ของ คริสโตเฟอร์ ด้วยเรื่องประมาณว่าเวลา เบลล่า กับ เซเลส ไปหาปู่กับย่า ก็คือไปหาพ่อแม่ของคริสโตเฟอร์ พ่อแม่ของคริสก็มักจะพาไปกินไอติมพาไปนู่นนี่ แล้วเขาก็มักจะสั่งอาหารที่มันมีถั่วมาด้วย แล้วก็กินโชว์ต่อหน้าเด็กๆ ทำให้เด็กๆ สงสัยว่าทำไมหนูกินไม่ได้เหรอ หนูอยากกิน อยากชิม ที่จริงมันอันตรายมาก พ่อแม่คริสต์นั้นก็ไม่ได้ให้เด็กๆกิน แต่ก็เหมือนสั่งมาแล้วก็เอามาโชว์ในเด็กๆ จริงๆพวกเขาก็คงไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ชาแนนรู้สึกว่าการที่พ่อแม่ทำอย่างนี้ มันเหมือนเป็นการฆ่าลูกๆของเธอทางอ้อม ก็เลยมีการทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ด้วย ชาแนนก็เลยคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องนี้ ที่ทำให้คริสโตเฟอร์ไม่รักชาแนนแล้ว เธอก็ยังติดประเด็นนี้ประเด็นนึงอยู่

ในวันที่ 7 สิงหาคม 2010 เธอเริ่มไปปรึกษาเพื่อนๆ และเพื่อนคนแรกที่โทรไปปรึกษาชื่อว่า แอดดี ( Addy )

โดยข้อความก็จะประมาณว่าคริสโตเฟอร์บอกว่า “เขากลัวที่ฉันตั้งท้องในครั้งนี้มาก” เขาบอกว่า “เขามีความสุขดีกับลูกแค่สองคนก็พอ” เขาเปลี่ยนไปแล้วฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่แตะต้องฉัน ไม่จูบฉัน แล้วก็ไม่คุยกับฉัน เขาเย็นชา ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันลองเช็คโทรศัพท์ของเขาแล้วนะแต่มันก็ว่างเปล่า จริงๆมันก็น่าจะว่างเปล่าเพราะว่าหลักฐานทางมันไปอยู่ในแอปเครื่องคิดเลข ที่คริสโตเฟอร์ได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้

ต่อมาในวันที่ 8 สิงหาคม 2018 วันนี้มันเป็นวันนัดอัลตร้าซาวด์ดูลูกของฉันครั้งแรก และทราบเพศของลูก โดยเธอตั้งใจจะจัดปาร์ตี้เฉลยเพศของลูกด้วย แต่สุดท้ายเธอก็ยกเลิก เพราะว่าเธอรู้สึกว่า สามีของเธอเย็นชากับเธอมาก จนถึงขั้นว่าจับมือก็ไม่จับตอบ เธอเลยต้องไปข้อความไปถามเพื่อนเลยว่าแบบให้มันเกิดอะไรขึ้น

ข้อความมันก็จะประมาณว่า “เขาปฏิเสธที่จะกอดฉัน ฉันนอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้ว ร้องไห้จนตาบวม ฉันยกเลิกงานเลี้ยงฉลองเพศแล้ว ฉันถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นในไม่กี่เดือนนี้เราเคยใกล้ชิดกัน และก็รักกันนี่ เขาบอกว่าเขาต้องการเวลาคิด เด็กในท้องสมควรได้รับความรักจากเขา ฉันบอกว่าคุณเป็นคนบอกเองนี่ว่าถ้ามีลูกคนที่ 3 คงจะดีมาก เราคุยกันเยอะมากก่อนที่จะมีลูกคนนี้ คุณเคยตื่นเต้น และมีความสุขมากๆ ฉันจับมือเขาตอนฟังอัลตร้าซาวด์ แต่เขาไม่จับตอบ เขาปฏิเสธที่จะมีเซ็กส์กับฉัน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้แม้ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ เขามีคนอื่น” เธอได้ส่งข้อความปรึกษากับเพื่อน จริงๆแล้วหลังจากอัลตร้าซาวด์ในวันนั้นผลก็ออกมาว่า เธอได้ลูกเป็นเด็กผู้ชาย แล้วเธอก็มีแพลนจะตั้งชื่อลูกคนนี้ว่า นิโก้ ลี วัตต์ ( Niko Lee Watts ) พอกลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก็ได้คุยกันเกี่ยวกับลูกคนที่ 3 เรื่องการตั้งชื่อต่างๆ คือมันก็ดูเหมือนจะไปได้สวย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังหาทางออกที่มันลงตัวกันไม่ได้

ต่อมาในวันที่ 9 สิงหาค 2018 ชาแนน วัตต์ จะต้องบินไปทำงานของบริษัทที่รัฐอาริโซน่า โดยครั้งนี้เธอจะไปกับเพื่อนสนิทของเธอที่ชื่อว่า นิโคล แอตกินสัน ( Nickole Atkinson ) ตัวละครใหม่ซึ่งคนนี้ก็สำคัญสำหรับเรื่องนี้เหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนสนิทอีกคนนึงของ ชาแนน วัตต์

ในช่วงก่อนที่เธอกำลังจะเดินทางไปทำงาน เธอได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับสามีของเธอ ข้อความในจดหมายก็ประมาณว่า “ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 5 อาทิตย์ที่ผ่านมา และไม่รู้จะอธิบายความเจ็บปวดอย่างไร ฉันคิดถึงทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ ฉันคิดถึงลมหายใจยามเช้าของคุณ สัมผัสของเรา ริมฝีปากของคุณตรงข้ามกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าเราห่างเหินกันได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณและครอบครัวของคุณ ฉันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฉันพยายามแก้ไขปัญหา แต่เราก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ฉันสมควรได้รับคำขอโทษเรื่องเซเลส และฉันจะต่อสู้เพื่อเธอ และเพื่อชีวิตลูกๆของเรา” เธอเขียนจดหมายถึงสามีของเธอคริสโตเฟอร์ แต่ก็ยังมีเล็กน้อยที่พูดเหน็บแนมไปถึง คุณพ่อคุณแม่ของคริสโตเฟอร์ วัตต์ว่าควรจะมาขอโทษเธอนะ เรื่องที่เอาถั่วสั่งมาพร้อมกับอาหารทำให้เด็กๆเห็น ก็รู้ๆกันอยู่ว่าลูกๆของเธอแพ้ถั่ว จะสั่งมาทำไม แต่ว่าสุดท้าย ความรักจากหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นความรักอันบริสุทธิ์ และเขาก็คงงง แล้วก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้สามีของเธอเป็นอะไร ก็พยายามง้อ ถึงแม้ว่าไม่รู้ผิดตรงไหน แต่ก็พยายามง้อ นับถือใจเธอจริงๆ

และหลังจากที่ส่งจดหมายนี้ให้คริสโตเฟอร์ คริสโตเฟอร์ก็ตอบกลับข้อความนี้ด้วยรูป และมันเป็นรูปที่น่าสงสัยมาก ซึ่งมันทำให้ชาแนนงงว่ามันคืออะไร ส่งรูปนี้มามันคือรูปอะไร

แล้วก็เขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย สำหรับรูปนี้แต่จากที่เราดูจากรูปมันเหมือนเป็นตุ๊กตาที่กำลังนอน แล้วก็มีผ้าคลุมอยู่ หรือมันอาจจะเป็นการสื่อว่าเขากำลังจะคิดไม่ดีกับลูกเขาหรือเปล่า เพราะตอนนั้นที่ชาแนนกำลังบินไปทำงานที่อรอโซน่า ลูกของเขาไม่ได้บินตามไปด้วย ก็คือน้องเบลล่า กับ น้องเซเลส อยู่บ้านกับ คริสโตเฟอร์ ผู้เป็นพ่อคอยดูแล แต่คริสโตเฟอร์ก็ส่งรูปนี้ไปให้

ในวันที่ 10 สิงหาคม 2018 ตอนนั้นชาแนนก็อยู่อาริโซน่าแล้ว แต่หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็รีบพิมพ์ข้อความหาสามีเธอทันทีเลย ประมาณว่าแบบ Good Morning นะที่รัก ขอโทษนะที่ต้องปลุกคุณ 2 รอบเลย อย่าลืมหอมแก้มเด็กๆให้ฉันด้วยนะ เตรียมอาหารให้แกด้วย เพราะว่าพวกแกเนี่ยเป็นคนกินอาหารยากประมาณนี้ เขาเป็นภรรยาที่ดีมากเลย และในเช้าวันนั้น คริสโตเฟอร์ วัตต์ก็ได้ส่งข้อความไปหาเพื่อนที่ชื่อว่า เจเรมี ลินด์สตรอม ( Jeremy Lindstrom ) ถามเกี่ยวกับลูกสาวของเขาว่าว่างไหม พอจะมาเป็น คนดูแลเด็กให้ลูกผมหน่อยได้หรือเปล่า เพราะว่าในวันที่ 11 วันพรุ่งนี้เนี้ย ผมจะต้องไปทำธุระ มันไม่มีใครดูแลเด็กๆ

จากนั้นในวันที่ 11 สิงหาคม 2018 นิโคล เคสซิงเกอร์ ได้ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เรื่องเกี่ยวกับ ananl sex ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และ เธอก็ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ threesome แลพ double penetration พูดตามตรงก็คือ การมีเซ็กส์แบบ 3 คนขึ้นไปในหนึ่งครั้ง หรือก็คือการมีเซ็กส์หมู่นั่นเอง และสุดท้ายคริสโตเฟอร์ ก็จ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกๆ เพราะว่า คริสโตเฟอร์ กับ นิโคล จะไปออกเดทกัน ที่ The Lazy Dog Sport bar and Grill in Erieใน Colorado นี่แหละ

ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม 2018 เป็นวันที่ชาแนนจะบินกลับมาที่โคโรลาโด้ โดยเครื่องเธอจะลงประมาณ 23:00 น. และในเช้าวันนี้เธอก็ได้ส่งข้อความไปหาสามีเหมือนเดิม ในการบอกรัก แล้วก็บอกว่าเธอนั้นคิดถึงลูกมากเลย ช่วยถ่ายรูปลูกมาหน่อยได้ไหม คริสโตเฟอร์ก็ได้ถ่ายรูปลูกกลับไป ก็เป็นรูปของน้องเบลล่า และของน้องเซเลส ซึ่งก็คิดว่ามันน่าจะเป็นรูปสุดท้ายที่ถ่ายตอนที่เธอทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่

และบ่ายวันที่ 12 สิงหาคมนี้ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ได้โทรไปหาเพื่อนร่วมงานของเขา บอกว่าเดี๋ยววันพรุ่งนี้จะไปดูแลพื้นที่ให้เองนะ คืองานที่คริสโตเฟอร์ วัตต์ทำเขาจะต้องไปเช็คพื้นที่ของถังน้ำมันดิบ เขาก็เลยบอกว่าเพื่อนไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวเขาไปดูให้เอง ซึ่งพื้นที่เขตที่เขารับผิดชอบที่ชื่อว่า CERVI 3-19

หลังจากนั้น นิโคล แอตกินสัน ที่บอกว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของชาแนน เธอได้ให้การกับตำรวจภายหลังว่า ระหว่างทางที่เธอบินไปทำงานกับชาแนน เธอรู้สึกว่าชาแนนเศร้ามาก และงงมากด้วย แล้วก็รู้สึกมีแต่ความทุกข์ คือไม่สนุกกับการทำงานและก็การเดินทางเลย และชาแนนบอกกับ นิโคล แอตกินสัน ว่าในวันที่ 13 สิงหาคมเธอมีนัดไปพบหมอ ช่วยไปเป็นเพื่อนเธอได้ไหม เพราะเธอคิดว่าสามีของเธอคงไม่ไปหรอก นิโคล แอตกินสัน ก็ตอบตกลงไปทันทีและบอกว่า วันที่ 13 สิงหาคมเดี๋ยวฉันจะไปด้วย และฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง โดยเวลานัดหมอประมาณ 10:00 น และในวันที่ 12 สิงหาคมมันเป็นวันที่ชาแนนจะบินกลับมาที่ Colorado เครื่องของเธอในตอนแรกมันจะมาถึงที่สนามบิน Denver International Airport ประมาณ 23:00 น แต่สุดท้ายไฟต์มันดีเลย์ มันทำให้ถึงช้าหน่อย ก็คือเลยไปเป็นวันที่ 13 สิงหาคม ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ และหลังจากนั้น นิโคล แอตกินสัน ก็ขับรถมาส่งเธอที่บ้าน ถึงบ้านเวลาประมาณ 01.48น. ซึ่ง นิโคล แอตกินสัน บอกว่านั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็น โดยส่งชาแนน วัตต์ที่บ้านของเธอ

ในเวลา 05:30 น. ของวันที่ 13 สิงหาคม 2018 คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้ถอยรถกระบะของเขาเข้ามาที่โรงจอดรถของเขาสัก แล้วก็ทำการขนอะไรสักอย่างขึ้นรถ ใช้เวลาสักพักนึงแล้วก็ขับออกไป

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 8:25 น. คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้โทรหาชาแนน วัตต์ แต่เธอไม่ได้รับสาย แล้วหลังจากนั้น คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ได้ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาเบอร์โรงเรียนของลูกสาวเธอทั้งสองคน แล้วก็โทรไปแจ้งโรงเรียนว่าวันนี้ผมไม่ได้ไปส่งลูกนะ จะเป็นชาแนน วัตต์ที่จะไปส่งลูก

หลังจากนั้นช่วงสายๆของวันที่ 13 สิงหาคม วันนี้ ชาแนน วัตต์ เธอมีนัดพบกับหมอในเวลา 10:00 น. และ นิโคล แอตกินสัน จะไปเป็นเพื่อน แต่ตั้งแต่เช้า นิโคล แอตกินสัน ก็โทรหา ชาแนน วัตต์ ส่งข้อความไปหา ชาแนน วัตต์ แต่ก็ไม่มีการตอบรับเลย คือเธอไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีการส่งข้อความตอบกลับ ทำให้ นิโคล แอตกินสัน รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนเธออย่างมาก เพราะปกติงานของชาแนน วัตต์ เธอฉันไม่เคยห่างมือถือเลย เพราะเธอทำหน้าที่เป็น direct sale แล้วหน้าที่ของเธอคือต้องขายของผ่านทางมือถือตลอด ดังนั้นมันไม่น่าที่จะอยู่ห่างมือถือ หรือว่าปิดเครื่องไป เธอเลยรู้สึกว่ามันมีอะไร นิโคล แอตกินสัน เลยได้ชวนลูกของเธอขับไปที่บ้านของชาแนน วัตต์เพื่อไปดูว่าชาแนนยังโอเคดีหรือเปล่า

เมื่อไปถึงที่บ้านของชาแนน วัตต์เวลาประมาณ 12.10 น. หลังจากนั้น นิโคล แอตกินสัน และ ลูกชายของเธอ ก็ทำการกดกริ่งเรียกหา ชาแนน วัตต์ แต่มันไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย และบ้านก็ล็อคทุกอย่าง ทั้งประตูข้างนอก หน้าต่าง ทุกอย่างคือปิดหมดเลยไม่สามารถจะเข้าบ้านได้ แต่ นิโคล แอตกินสัน ได้สังเกตเห็นอย่างหนึ่ง ว่าในโรงรถมันยังมีรถ Lexus ของชาแนน วัตต์ อยู่ และในรถ Lexus มันยังมี car seat หรือ ที่นั่งของเด็ก ติดอยู่

ซึ่งแปลว่าชาแนน วัตต์นั้นก็ไม่น่าจะได้ออกไปไหน ยกเว้นว่ามีใครพาเธอไปจากบ้าน นั่นก็ยิ่งเป็นกังวลครับเพราะว่าชาแนน วัตต์ เธอเป็นเบาหวานด้วย กลัวว่าจะหมดสติในบ้านหรือเปล่า เธอก็เลยคิดว่าเธอจะเข้าไปในบ้านของชาแนน วัตต์ ตัวของนิโคล แอตกินสันเธอรู้รหัสผ่านประตูหน้าบ้าน แต่ว่ารู้แค่ประตูชั้นแรกชั้นเดียว ซึ่งมันก็จะเปิดเข้าไปได้ไปประมาณ 2 นิ้วเท่านั้น และก็จะเจอประตูอีกชั้นนึง ที่มันจะต้องใส่รหัสผ่านอีกชั้น แต่เธอไม่รู้รหัสแล้ว

และเมื่อตอนที่เธอเปิดประตูและลองใส่รหัส ตัวประตูอัตโนมัติมันเนี่ยมันได้แจ้งสัญญาณไปให้กับคริสโตเฟอร์ วัตต์รู้ เพราะว่าเขาติดตั้งแอพพลิเคชั่นไว้ว่าหากมีการรบุกรุกเข้าบ้าน มันจะมีการแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์ หลังจากนั้น คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็โทรกลับมาหา นิโคล แอตกินสัน ว่าเธอมาทำอะไร นิโคล แอตกินสัน ก็แจ้งสถานการณ์กลับไปบอก คริสโตเฟอร์ วัตต์ ว่า ชาแนน วัตต์ หายไปนะ ความจริงแล้วเนี้ย ตอนนี้เธอมีนัดกับหมออ แล้วตอนนี้เธอมารับชาแนน วัตต์ที่บ้านแล้วเธอไม่เจอ ไม่รู้เลยว่าชาแนนอยู่ไหน พอจะรู้ไหมว่าเมียเขาอยู่ที่ไหน คริสโตเฟอร์ วัตต์ก็ตอบกลับมาว่าวันนี้มันเป็นวันพักของชาแนน เธออาจจะตื่นสาย จากนั้น นิโคล แอตกินสัน เป็นห่วง ชาแนน วัตต์มาก ก็เลยโทรหาครอบครัวของชาแนน วัตต์ เพราะคิดว่าเพื่อนเธอจะกลับไปหาครอบครัวหรือเปล่า หรือไม่ก็อาจจะถามครอบครัวของเธอว่าเธอไปอยู่ที่ไหน หรือมีไอเดียไหมว่าเธอจะไปที่ไหน พอครอบครัวของเธอทราบเรื่อง พ่อแม่เธอก็ยิ่งเป็นห่วงไปกันใหญ่ และแจ้งว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่นะ แล้วตอนนี้ชาแนน วัตต์ หายตัวไปไหน ทุกคนก็อยู่ในภาวะแบบตื่นตระหนกกันหนักมาก เพราะว่าปกติ ชาแนน วัตต์ ไม่เคยหายไปไหนเฉยๆแบบนี้ หลังจากวางสายจากครอบครัวของ ชาแนน วัตต์ แล้ว นิโคล แอตกินสัน ก็พยายามอยากจะเข้าบ้านให้ได้ เพราะว่ากลัวว่าเธอจะเป็นอะไรในบ้านจริงๆ และประตูอัตโนมัติมันก็ได้แจ้งเตือนไปให้คริสโตเฟอร์ วัตต์ อีก คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็โทรกลับมาบอกกับ นิโคล แอตกินสัน ว่า อย่าเพิ่งเข้าบ้านผม อย่าไปบุกรุกบ้านผม และอย่าเพิ่งโทรแจ้งตำรวจ ผมกำลังจะขับรถกลับมาที่บ้านมาเปิดประตูให้ แล้วจะได้ช่วยกันมาตามหาเมียด้วย แต่ที่น่าสงสัยคือ ทำไมต้องบอกว่าอย่าแจ้งตำรวจ เวลาคนเราเมียหายไปทั้งคน เราก็น่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง ให้มันตื่นตัวกว่านี้ เราต้องรีบแจ้งตำรวจเลย แต่มันตรงข้ามกับคริสโตเฟอร์ วัตต์ มันยิ่งทำให้ นิโคล แอตกินสัน เนี่ยยิ่งสงสัยในตัว คริสโตเฟอร์ วัตต์ แต่ตอนนั้น นิโคล แอตกินสัน ก็คิดได้อย่างนึง หรือว่า ชาแนน วัตต์ อาจจะไปคลีนิคแล้วหรือเปล่า โดยที่ไม่ได้บอกเธอ นิโคล แอตกินสัน กับลูกก็เลยพากันขับรถไปที่คลีนิคที่ชาแนน วัตต์ จะต้องมาตามนัดในวันนี้ประมาณ 10:00 น และก็ได้ไปถามคลินิกว่า ชาแนน วัตต์ มาที่นี่ไหม คำตอบของคลินิคก็ตอบว่าเธอไม่อยู่ที่นี่นะ นิโคล แอตกินสัน ก็ถามว่าต่อไปว่าเธอมาที่นี่หรือยัง ที่นัดไว้ตอน 10:00 น. ทางคลินิกก็บอกว่า คนไข้ยังไม่ได้มาตามนัดเลย พอได้ทราบข้อมูลจากทางคลินิกแล้ว นิโคล แอตกินสัน ก็รีบขับรถกลับไปบ้านชาแนน วัตต์ อีกรอบนึง โดยระหว่างนั้นก็ได้โทรหาคริสโตเฟอร์ วัตต์ ตลอดว่าให้รีบกลับมาบ้าน คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็บอกว่าให้รอประมาณ 1 ชั่วโมงเดี๋ยวเขากำลังกลับมาแล้ว เพราะว่ามันอยู่ห่างจากที่ทำงานเขาพอสมควรเลยสุดท้าย นิโคล แอตกินสัน เธอไม่รู้จะทำยังไงดี เธอไม่สามารถจะเข้าบ้านได้ แล้วก็ไม่สามารถติดต่อ ชาแนน วัตต์ ได้ เธอก็เลยตัดสินใจแจ้งตำรวจซะเลย ซึ่งตำรวจที่รับเรื่องในวันนั้นก็คือเจ้าหน้าที่ สก็อต คูนรอด ( Scott Coonrod ) ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์จาก นิโคล แอตกินสัน ก็รีบมายังบ้าน ชาแนน วัตต์ และมาถึงในเวลา 13:50 น.  

หลังจากนั้นตำรวจก็เริ่มสำรวจบ้านของ ชาแนน วัตต์ ตะโกนถามหาว่ามีใครอยู่ในบ้านไหมเป็นอะไรหรือเปล่า

แล้วก็พยายามเดินรอบบ้านของเธอ เพื่อที่จะหาทางเข้าบ้านให้ได้ เพราะว่าอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าประตูหน้ามันเข้าไม่ได้ แล้วประตูโรงรถมันก็ปิด ก็เข้าไม่ได้ คือบ้านทั้งหลังต้องใช้รหัสผ่านทั้งหมดเลย

เวลา 13:59 น นิโคล แอตกินสัน โทรไปหาคริสโตเฟอร์ วัตต์อีกครั้งเพื่อจะขอรหัสประตูโรงรถ ก็คือเข้าหน้าบ้านไม่ได้ก็ขอรหัสผ่านลงรถก็แล้วกัน เผื่อจะได้ไปสำรวจดูในรถ หรือเผื่อว่าสามารถหาทางเข้าบ้านโดยทางอื่นได้ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ตอบกลับมาว่ารหัสนั้นมันใช้ไม่ได้แล้วมันเสียไปแล้ว ประตูโรงรถมันจะต้องเปิดจากด้านในเท่านั้น ก็คือจะต้องเข้าจากประตูหน้าบ้านก่อน แล้วก็ไปเปิดประตูโรงรถจากด้านใน

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสก็อต คูนรอดได้โทรไปหาคริสโตเฟอร์ วัตต์ อีกที ว่าผมต้องการจะเข้าบ้านคุณจริงๆนะ คริสโตเฟอร์ วัตต์ บอกว่าอีกประมาณ 5 นาทีผมจะถึงแล้ว

แล้วหลังจากนั้นคริสโตเฟอร์ วัตต์ก็มาถึง

แต่พอมาถึงนะครับเขาไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะตกใจ หรือว่าช็อคอะไร คือแทนที่เราจะรีบวิ่งมาเปิดประตูบ้านให้ตำรวจเข้าไปค้นหาเขากลับกลายเป็นว่าเหมือนไปเปิดประตูหลังรถเพื่อเช็คดูอะไรบางอย่างก่อน แล้วก็ค่อยวิ่งมาแล้วก็มาเปิดประตูบ้านให้

คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็พาสำรวจบ้านไปเรื่อยๆ

จนขึ้นไปที่ชั้น 2 ของบ้าน ก็ไปพบกับโทรศัพท์ของเธอ

หลังจากนั้นสักพักนึง อยู่ดีๆ คริสโตเฟอร์ เดินเข้าไปในห้องนอน ซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ของบ้าน แล้วก็หยิบแหวนแต่งงานของเมียมา แล้วก็มาบอกตำรวจว่าเธอทิ้งแหวนแต่งงานไว้

ตำรวจก็สอบถามว่า คุณพอจะรู้ไหมว่ามันทำไมมันถึงเกิดสาเหตุนี้ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ตอบเจ้าหน้าที่ตำรวจไปว่าไม่รู้จริงๆ ไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็สังเกตุว่าคริสโตเฟอร์ วัตต์ ไม่ได้อยากจะเจอเมียเลย คือไม่ได้แสดงแอคชั่นเป็นห่วงเป็นใย คือเหมือนคนเดินหาปกติเลย ส่วนตัวเพื่อนของชาแนนอย่างนิโคล แอตกินสัน ยังรู้สึกว่าลนลานมากกว่าอีก จนเธอเสนอไอเดียว่า หรือว่าชาแนนจะพาลูกๆ ไปสระว่ายน้ำของหมู่บ้าน เราเดินไปดูที่สระว่ายน้ำกันไหม เพราะตอนนั้นมันเป็นเดือนสิงหาคมมันยังเป็นหน้าร้อนอยู่  คริสโตเฟอร์ วัตต์ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา แล้วบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ไปที่นั่นหรอก เหมือนเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้ว และก็ขี้เกียจเดินไปหา

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ สก็อต คูนรอด ก็ได้สอบถามข้อมูลจาก คริสโตเฟอร์ วัตต์ คร่าวๆ ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นได้ยังไง คุณเจอเมียคุณครั้งสุดท้ายประมาณเวลากี่โมง

คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็บอกว่า ชาแนน วัตต์ มาถึงบ้านประมาณเวลา 2:00 น. ตอนนั้นตัวเขาและลูกๆเข้านอนแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ตื่นมา 5:00 น. แล้วก็ไปเตรียมตัวเอาของเครื่องใช้ต่างๆ ไปขึ้นรถกระบะแล้วก็ออกไปทำงานในเวลา 05:27 น โดยคริสโตเฟอร์ ก็บอกเจ้าหน้าที่ สก๊อต ว่า ชาแนน บอกกับเขาว่า วันนี้จะพาลูกๆไปบ้านเพื่อนนะ จะไปเจอเพื่อน แต่คริสโตเฟอร์ ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหน และบ้านของเพื่อนอยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าชาแนนออกจากบ้านไปเวลาเท่าไหร่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่สก๊อตได้สำรวจบ้านคริสโตเฟอร์ และตอนนั้นน่ะคริสโตเฟอร์ก็อยู่ตรงนั้นพอดี โดยเพื่อนบ้าน บ้านข้างๆบ้านของคริสโตเฟอร์เลย เขาได้บอกกับคุณตำรวจ สก๊อต ว่า ที่บ้านเค้าติดกล้องวงจรปิดไว้พอดี ดังนั้นให้มาดูสิ เผื่อในกล้องวงจรปิดผมจะเห็นว่าชาแนนไปกับเพื่อนคนไหน หรือว่าเธอเดินไปขึ้นรถอะไร ให้มาดูได้เลยเพราะว่ากล้องวงจรปิดผมถ่ายเอาไว้ 24 ชั่วโมง ในตอนนั้น คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ออกอาการเลิ่กลั่กทันที แล้วก็เหมือนมีพิรุธทันที แต่สุดท้ายก็ต้องแกล้งทำตัวปกติแล้วเข้าไปดูกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้าน

ดูท่าทีของคริสโตเฟอร์ วัตต์ในตอนที่เขาดูกล้องก็มีทีท่าไม่สนใจบ้าง ลนบ้าง คือไม่นิ่งเลย เหมือนกับคนที่มันมีพิรุธ รู้สึกไม่ค่อยอยากจะดู โดยปกติแล้วถ้าเราเป็นสามีราก็ต้องอยากจะรู้ว่าภรรยาเราออกไปตอนไหน แต่นี่เหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากจะดูคลิปวีดีโอเท่าไหร่ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอะไรมันเกิดขึ้นในกล้องนั้นมันก็ไม่เห็นจริงๆ ว่าคริสโตเฟอร์ได้ทำการขนย้ายอะไรขึ้นไปบนรถ

แต่รู้แน่ๆว่าวันนั้นชาแนน วัตต์ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนแน่นอน และไม่ได้มีใครมารับชาแนน วัตต์แน่นอน ตอนดูเทปวงจรปิดเสร็จแล้ว ตอนที่คริสโตเฟอร์ วัตต์ กำลังเดินออกไปจากบ้านของเพื่อนบ้านแล้ว คุณเพื่อนบ้านคนนั้นเขาก็บอกกับตำรวจว่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ มันมีพิรุธนะ มันทำตัวทำตัวไม่เป็นเลย มันทำตัวไม่เป็นธรรมชาติมาก ใครดูใครก็รู้ทันทีเลย

จากนั้น แซนดร้า รูเส็ก แม่ของ ชาแนน วัตต์ ได้โทรหานายตำรวจสก๊อต บอกว่าเธอรู้สึกสงสัยว่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ ลูกเขยของเขาคนนี้ จะต้องมีอะไรเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของ ชาแนน วัตต์ แน่ๆ เพราะว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน และอยู่ในช่วงระหองระแหงกันแล้ว เจ้าหน้าสก็อต ก็ได้โทรหาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็คือเรียกกำลังเสริม ก็คือเจ้าหน้าที่ เดฟ บวมโฮเวอร์ ( Dave Baumhover ) พอเจ้าหน้าที่มาถึงก็สอบปากคำ และสอบถามข้อมูลกับคริสโตเฟอร์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาให้การต่างจากครั้งที่แล้วเขาบอกว่าเมียเขาอ่ะมันถึงบ้านประมาณ 01:48 น. เพราะคริสโตเฟอร์ได้ดูกล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านของเขาเองและเห็นเวลาในกล้องจึกให้การต่างออกไปจากเดิม และคริสโตเฟอร์ก็ตื่นในเวลา 4:00 น. แล้วก็เดินไปออกกำลังกายที่ชั้นใต้ดินประมาณ 15 นาที

หลังจากนั้นเนี่ยก็ขึ้นมาที่ห้องนอน แล้วก็มาทะเลาะกัน ก็คือมาคุยกันกับ ชาแนน วัตต์ ว่าเขากำลังจะขอเมียหย่า อยากจะแยกทางกัน ก็เลยทะเลาะกัน และหลังจากทะเลาะกันแล้วเนี่ย ก็คืออกไปทำงาน เวลา 05:27น. ด้วยรถกระบะคันนั้น คันที่เขาถอยเข้ามาในโรงรถ โดยชาแนน วัตต์ บอกกับเขาแค่ว่า วันนี้ชาแนน จะพาลูกๆไปที่บ้านเพื่อนโดยที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนคนไหน หรือจะไปเมื่อไหร่ กลับเมื่อไหร่ บ้านเพื่อนคนนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้บอก และยังได้ให้การเพิ่มเติมอีกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงจะขอแยกทางกัน เพราะว่ามีปัญหาทางด้านการเงิน แล้วก็กำลังจะขายบ้านหลังนี้ เมื่อหลังจากขายบ้านหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะพอได้เงินมาก้อนนึง แล้วก็กะว่าจะไปซื้อบ้านหลังใหม่ แล้วตำรวจก็ถามว่า แล้วบ้านใหม่ที่จะซื้อคืออยู่ด้วยกันทั้งครอบครัวเลยเหรอ คริสโตเฟอร์ วัตต์ เขาบอกว่าไม่ใช่ จะเป็นเมียของเขาแล้วก็ลูกเขาสองคนอยู่บ้านหลังใหม่นี้ ส่วนเขาจะไปหาอพาร์ทเม้นท์อยู่ แต่ว่าจะส่งเสียเงินเลี้ยงเด็กๆ เขาก็จะส่งเสียแบ่งกันคนละครึ่ง แล้วคริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ได้พยายามติดต่อกับชาแนน วัตต์ ตอนเวลา 07.40 น. และ เวลา 08:25 น. แต่เธอก็ไม่ได้รับสาย แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา หลังจากนั้นตำรวจก็ได้กลับไปค้นดูในบ้านเพื่อหาเบาะแสต่างๆ แต่ก็ไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย และก็ไม่ได้เจอเลือดหรืออะไรเป็นพิเศษ แต่ที่น่าตกใจเนี่ยมันก็คือ กระเป๋าตังค์ของชาแนน วัตต์ ยังอยู่ในบ้าน ยาต่างๆก็ยังอยู่ในบ้าน

ทำให้ตำรวจคิดว่าที่จริงๆแล้ว ถ้าเธอจะออกไปบ้านเพื่อนคนไหน ก็ควรจะต้องเอาสิ่งสำคัญพวกนี้ออกไปด้วย แต่ทำไมชาแนน วัตต์ไม่เอาไป และอีกอย่างนึงที่มันน่าสังเกตคือในห้องนอนใหญ่ ผ้าคุมเตียงมันหายไป

ต่อไปในเรื่องการสืบสวนสอบสวนของเรื่องนี้ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2018 หนึ่งวันหลังจากที่ ชาแนน วัตต์ หายตัวไป ตอนนั้นมีการเข้ามามีส่วนร่วมของตำรวจ FBI ก็เข้ามามีส่วนร่วมในคดีนี้แล้ว และสำนักข่าวต่างๆ ทั้งในท้องถิ่น และ ช่องข่าวชื่อดังของสหรัฐ ก็พากันนำเสนอเหตุการณ์นี้ เพราะว่ามันรู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์คนหายที่น่าแปลก จนมีช่องข่าวนี้ชื่อ Denver 7 News มาสัมภาษณ์คริสโตเฟอร์ถึงบ้าน ซึ่งการให้การสัมภาษณ์ออกทีวี คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ให้สัมภาษณ์ประมาณว่า “ผมรู้สึกเศร้ามาก ปกติบ้านเนี่ยจะมีเสียงของเด็กๆวิ่งเล่น จะมีเด็กๆวิ่งเข้ามากอดผม มาหาผม แต่ตอนนี้มันไม่มีเสียงนั้นอีกแล้ว ผมรู้สึกนอนไม่หลับ ผมต้องเปิดไฟนอนตลอด” สุดท้ายคริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็บอกว่า “ขอเถอะนะ คนที่รักพาตัวภรรยาของเขา และลูกของเขาไป ได้โปรดส่งกลับคืน หรือถ้าชาแนน วัตต์ หนีไป หรือ ไปที่ไหนๆก็ตาม ได้โปรดติดต่อกลับมา ได้โปรดกลับมาบ้านของเรา บ้านหลังนี้มันจะไม่สมบูรณ์เลย ถ้าขาดพวกคุณไป” คือเขาให้สัมภาษณ์ประมาณนี้เลย แต่หน้าตาตอนที่เขาให้สัมภาษณ์ มันจะดูไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ แล้วก็ดูไม่ได้เศร้า ไม่ได้ยินดียินร้ายกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่

คดีนี้มันเป็นคดีที่ดังมาก และมันมี FBI เข้ามาเกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ก็มีเจ้าหน้าที่ FBI คนนึงชื่อว่า เกรแฮม โครเดอร์ ( Graham Coder ) ซึ่งเขาก็มีส่วนร่วมกับคดีนี้ และเขาเป็นคนที่เก่งมากคนนึงเลย และเข้าก็ได้เข้ามาสวนคดีนี้ด้วย

เขาได้สอบถาม คริสโตเฟอร์ วัตต์ คร่าวๆว่า คุณพอจะมีไอเดียไหม ว่าชาแนน วัตต์ เนี่ยจะไปที่ไหน หรือว่าตอนนี้ฉันมีใครกำลังปองร้ายเธอยู่หรือเปล่า ชาแนน วัตต์ ตอบว่า ผมก็ไม่รู้เลยครับว่าภรรยาของจะหนีไปที่ไหน และตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครที่จะมาปองร้ายเธอ หรือว่าอยากจะลักพาตัวเธอ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ เกรแฮม ในก็ถามต่อว่า ตอนนี้คุณคิดว่าเธอเนี่ยนอกใจคุณหรือเปล่า คือคำถามประมาณว่าชาแนน วัตต์ หนีไปกับผู้ชายอื่นหรือเปล่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ บอกว่าผมคิดว่าไม่นะครับ แต่มันก็มีทางเป็นไปได้ คริสโตเฟอร์ วัตต์พูดแบบนี้เฉยเลย และหลังจากนั้นคริสก็เล่าปัญหาภายในครอบครัว ก็อย่างปัญหาต่างๆ เช่น การเงิน การขอแยกทางกัน อยู่ระหว่างหย่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้ให้การกับ FBI ไป หลังจากนั้น FBI ก็ได้ทำการสืบสวนสอบสวนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของทั้งสองคน ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย หรือว่าตามหาเก็บพยานหลักฐานต่างๆ มีการเอาหมามาดมหาหลักฐาน เอามาค้นหากันให้วุ่นเลย

หลังจากสืบสวนสอบสวนไปได้สักพักนึง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าคริสโตเฟอร์ คุณเป็นคนเดียวนะ ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ เพราะคุณอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วมันเป็นที่สุดท้ายที่พบว่าชาแนน วัตต์ยังมีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ ดังนั้นคุณน่าจะต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องด้วย เลยต้องการให้คุณมาทดสอบเข้าเครื่องจับเท็จ ด้วยความที่มันไม่มีทางเลือก คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็เลยต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ และตอบไปว่า “ได้ครับ ผมเข้าเครื่องจับเท็จได้เลยครับ”

และก็มาถึงช่วงสุดท้าย คือช่วงการสารภาพผิด ในวันที่ 15 สิงหาคมปี 2018 ขณะที่ชาแนน วัตต์ ยังหายตัวไป ยังไม่กลับมา ถ้านับก็เป็นวันที่ 2 แล้ว วันนี้ FBI ได้นัดคริสโตเฟอร์ วัตต์ ให้มาเข้าเครื่องจับเท็จ แล้วก็มาสืบสวนสอบสวนต่อ แต่ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย หัวหน้าของคริสโตเฟอร์ วัตต์ ที่ชื่อว่า โทนี่ ฮัสกี้ ( Tony Huskey ) เค้าได้ไปค้นหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่ที่ทำงานที่คริสโตเฟอร์ วัตต์ใช้งานอยู่ เขาพบว่าในข้อมูลพวกนั้นมีข้อความการคุยกันระหว่าง คริสโตเฟอร์ วัตต์ กับ นิโคล เคสซิงเกอร์ ที่นี่หัวหน้าก็เลยเอาข้อมูลที่เจอมาบอกกับ FBI

ถึงเวลาที่ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ต้องเข้าเครื่องเท็จ ก็จะมีเจ้าหน้าที่อีกหน่วยงานนึง ที่เขาเรียกว่า CBI ( Colorado Bureau of Investigation ) จะมาทำหน้าที่รับผิดชอบต่อในช่วงนี้ โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เป็นหัวหน้าทีมที่มีชื่อว่า Tammy Lee เธอได้ทำการทดสอบ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ว่าเขาโกหกหรือไม่โกหก ก็นำไปเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งเจ้าเครื่องตัวนี้มันจะตรวจคลื่นหัวใจต่างๆ มันจะต้องติดอุปกรณ์เอาไว้ที่ร่างกาย เพื่อดูปฏิกิริยา Reaction ต่างๆผ่านคอมพิวเตอร์

ประเด็นหลักมันก็คือ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ไม่ผ่านเครื่องโกหกอยู่ประมาณ 3 ข้อ โดยคำถาม 3 ข้อนั้นคือ ข้อ 1 คุณโกหกหรือเปล่า ช่วงเวลาที่คุณเห็นชาแนน วัตต์เป็นครั้งสุดท้ายมันไม่ใช่ 01:48 น. ใช่ไหม คริสโตเฟอร์ วัตต์ ตอบว่าเขาไม่ได้โกหก คำถามนี้เครื่องจับเท็จสามารถจับได้ว่าโกหก ข้อที่ 2 คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ชาแนน วัตต์อยู่ที่ไหน คริสโตเฟอร์ วัตต์ ตอบว่าไม่รู้ เครื่องจับเท็จสามารถจับได้ว่าข้อนี้ก็โกหก และข้อที่ 3 ถามว่าคุณใช่ไหมที่เป็นคนที่ทำให้ ชาแนน วัตต์ หายตัวไป คริสโตเฟอร์ วัตต์ก็ตอบว่าไม่ใช่ เช่นเคยครื่องจับเท็จสามารถจับได้ว่าข้อนี้ก็โกหก

หลังจากทำการทดสอบเครื่องจักรโกหก FBI , CBI ก็นำผลการทดสอบไปนั่งคุยกับคริสโตเฟอร์ วัตต์ แจ้งว่า ที่คุณทดสอบเข้าเครื่องจับเท็จ คุณไม่ผ่านเครื่องจับเท็จนะ เพราะฉะนั้นคุณช่วยบอกความจริงกับเราได้ไหมว่าอะไรมันเกิดขึ้น เราอยากให้คุณบอกความจริงเพื่อให้การดำเนินคดี หรือว่าขั้นตอนต่างๆมันง่าย

เจ้าหน้าที่ถามต่อว่า ตอนนี้คุณพาพวกเขาไปอยู่ที่ไหน ซ่อนเธอไว้ที่ไหน ซ่อนลูกๆของคุณไว้ที่ไหน ช่วยบอกความจริงเราได้ไหม คือเจ้าหน้าที่ก็จะมีเทคนิคเยอะแยะมากมาย ในการพูดตะล่อม ในการเค้นความจริง จนสุดท้ายคริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ยังไม่รับสารภาพ คือนั่งสอบสวนมาประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ยังไม่รับ และก็บอกว่าผมไม่รู้จริงๆ แบบสาบานกับพระเจ้าได้เลย ผมไม่รู้ว่าแฟนผมหายไปไหน ผมก็อยากได้แฟนผมและครอบครัวผมกลับคืนมา สุดท้ายแล้วคริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ไม่รับผิด แต่มันมีข้อนึงที่เขายอมรับว่าเขาทำจริงคือ เขานอกใจภรรยา กำลังคุยกับคนที่ชื่อว่า นิโคล เคสซิงเกอร์ แต่ที่ตอนแรกไม่บอกเพราะว่า ไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย เพราะว่าเธอเป็นคนดี เธอไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้หรอก

เจ้าหน้าที่ CBI ก็บอกว่าคุณเชื่อไหม ที่จริงอ่ะผมรู้แล้วข้อมูลนี้ ผมรู้มาตลอด แต่คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะที่คุณโกหก ใครก็เคยโกหกกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ขอให้คุณบอกความจริงได้ไหม ว่าครอบครัวคุณอยู่ที่ไหน การสืบสวนสอบสวนยืดเวลาไปเป็นเวลา 6 ชั่วโมง คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ยังไม่ยอมเปิดปากใดๆทั้งสิ้น ตัวคริสโตเฟอร์ วัตต์รู้สึกว่ามันกดดันมากแล้วในตอนนั้น เขาจะไม่ไหวแล้ว เขาบอกว่าขอพักก่อนได้ไหม ขอให้เขาได้คุยกับพ่อเขาก่อนได้ไหม หลังจากนั้น CBI ก็ออกไปจากห้อง แล้วก็ให้คุณพ่อเขาเข้ามาในห้องนั้น

และในห้องนั้นก็มีการบันทึกภาพ และ บันทึกเสียงเอาไว้ ซึ่งคริสโตเฟอร์ วัตต์ และ พ่อของเขาได้คุยกันไว้ว่า พ่อได้ถามว่า “ลูกอยากจะบอกอะไรพ่อไหม?” คริสโตเฟอร์ตอบว่า “ผมไม่ผ่านเครื่องจับเท็จ” พ่อพูดต่อว่า “มันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ลูกทดสอบเครื่องจับเท็จไม่ผ่าน?” คริสโตเฟอร์ตอบว่า “พวกเค้ารู้อยู่แล้วว่าผมนอกใจเธอ” พ่อพูดต่อไปอีกว่า “มีอะไรอีกหรือเปล่า มันเกิดอะไรขึ้น เล่าให้พ่อฟังอะไรก็ได้” คริสโตเฟอร์ตอบว่า “ผมไม่อยากปกป้องเธออีกแล้ว” พ่อว่า “เธอทำร้ายเด็กๆหรอ” คริสโตเฟอร์ว่า “ใช่ ผมก็เลยฆ่าเธอ ผมทำร้ายเธอ” หลังจากพูดคุยกันได้สักพักสุดท้ายพ่อถามอีกว่า “ชาแนนฆ่า เบลล่า และ เซเลส หรอ เธอบีบคอทั้งสองคนเลยหรอ ลูกเลยเลือดขึ้นหน้า เข้าไปบีบคอเธอต่อ ใช่ไหม” คริสโตเฟอร์ตอบว่า “ใช่ครับ ผมบีบคอเธอ” พ่อพูดต่อไปว่า “งั้นลูกก็เอาศพของทั้ง 3 คนไปซ่อนใช่ไหม” คริสโตเฟอร์ตอบว่า “ผมไม่ได้วางแผนอะไร และผมก็ไม่รู้จะทำยังไง” หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามา

มาสรุปกันว่าทำไมเขาถึงฆ่า เพราะว่าวันนั้นที่คริสโตเฟอร์ วัตต์ ทะเลาะกับ ชาแนน วัตต์ เขาตื่นตี 4 เลยลงไปที่ห้องใต้ดินไปออกกำลังกาย และเมื่อเขากลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภาพที่เขาเห็นคือ ชาแนน วัตต์ กำลังบีบคอลูกสาวของเขาทั้งสองคน ซึ่งเขาช็อคมาก และสงสัยว่าทำไมเธอทำอย่างนี้ คริสโตเฟอร์ วัตต์ เลยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ก็เลยไปฆ่าชาแนน วัตต์ด้วยการบีบคอ หลังจากนั้นก็เอาศพของทั้ง 3 คนขึ้นรถกระบะ และก็เอาไปฝังที่ที่ทำงานที่เขารับผิดชอบ ในตรงบริเวณบ่อน้ำมันดิบนั่นเอง แต่สิ่งที่คริสโตเฟอร์ วัตต์ไม่รู้คือ ในระหว่างที่กำลังสืบสวนดำเนินคดีในขณะนี้ เจ้าหน้าที่อีกส่วนได้มีการทำการแกะรอย GPS บนรถกระบะของคริสโตเฟอร์ วัตต์ ว่าเขาใช้รถกระบะในเช้าวันนั้นไปที่ไหน สรุปแล้วคริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้ใช้รถกระบะของเขาไปที่สถานที่ชื่อว่า CERVI 3-19 ซึ่งเป็นที่ทำงานของคริสโตเฟอร์ วัตต์ เอง

เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบสถานที่โดยละเอียด ซึ่งมันเกิดขึ้นพร้อมกันระหว่างการสืบสวนที่สถานี และการตามรอย GPS ของรถ ตรวจสอบไปเรื่อบๆ FBI ไปพบเข้ากับผ้าคลุมที่นอน โดยผ้านั้นค่อนข้างจะเปื้อน เจ้าหน้าที่ก็เลยได้ทำการค้นหาบริเวณนั้นอย่างละเอียด

ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ยอมสารภาพว่าเขาฆาตกรรมภรรยา และเอาศพภรรยาเขาไปฝังที่ CERVI 3-19 นั้นจริงๆ และก็เอาลูกทั้งสองคนไปฝังในบ่อน้ำมันดิบแยกกัน 2 บ่อ

โดยที่เด็กๆสวมชุดนอนทั้งสองคน และหมดลมหายใจไปแล้ว คริสโตเฟอร์ วัตต์นำร่างไปหย่อนในบ่อน้ำมันดิบทั้ง 2 ถัง ส่วนชาแนน วัตต์ เขาขุดหลุมฝังไว้ในบริเวณแถวๆนั้น

ด้านของ นิโคล เคสซิงเกอร์ ได้ให้การกับตำรวจว่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้บอกกับเธอมาโดยตลอดว่ากำลังจะหย่ากับ ชาแนน วัตต์ เธอกล่าวว่า เธอก็โดนหลอกเหมือนกัน และยังให้การที่เป็นประโยชน์ เธอจึงหลุดจากการเป็นผู้ร่วมกระทำผิด วันที่คริสโตเฟอร์ วัตต์สารภาพว่าลงมือฆาตกรรมชาแนน วัตต์ เขาก็โดนจับกุมตัวทันที ในตอนนั้นก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับทนาย เรื่องของคดีความเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ได้ไปติดคุก ยังไม่ได้ขึ้นพิพากษา คือตอนนั้นมีการสู้คดีกันด้วย เพราะในตอนนั้นเขาบอกเขาฆ่าชาแนน วัตต์คนเดียว แต่ลูกสาวทั้งสองคนเขาไม่ได้ฆ่า

แต่แล้วในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2018 หลังจากมีการสู้คดีต่างๆ คริสโตเฟอร์ วัตต์เขาก็ยอมรับสารภาพ ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนลงมือทำการฆาตกรรมทั้ง 3 คน โดยเขาให้การว่าเขาบีบคอของชาแนน วัตต์ จนสิ้นลมหายใจ หลังจากนั้นลูกสาวเขาเบลล่ามาเห็นเหตุการณ์เข้า แล้วก็ถามว่าแด๊ดดี้แด๊ดดี้ทำอะไรมามี๊ คริสโตเฟอร์ วัตต์ บอกลูกไปว่าแม่ไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวพ่อต้องพาไปโรงพยาบาล

หลังจากนั้นวลา 05:00 น คริสโตเฟอร์ก็ขับรถกระบะออกไป ตามภาพที่แสดงไปข้างต้น ในตอนนั้นเขาก็ขนร่างของภรรยาขึ้นรถ และก็เอาลูกเขาสองคนของเขาขึ้นรถไปด้วย แต่ตอนนั้นลูกสาวทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่ตาย มีแต่ชาแนน วัตต์คนเดียวที่ตายแล้วหลังจากนั้น คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ขับรถไปยังบริเวณที่เขาทำงาน CERVI 3-19 แล้วเขาก็เอาศพชาแนน วัตต์ไปฝังก่อน

ระหว่างนั้นนั้นเขาก็ขังลูกเขาไว้ในรถก่อน หลังจากนั้นเขาก็เดินมาในรถแล้วก็ลงมือทำการสังหารลูกสาวคนเล็ก น้องเซเลส ที่อายุ 3 ขวบ ซึ่งเซเลสเธอจะเป็นคนค่อนข้างติดผ้าห่มผืนนึงของเธอ คริสโตเฟอร์ วัตต์ ได้ทำการเอาผ้าห่มอันนั้นปิดปากปิดจมูกbอุดหน้าลูกจนทำให้เธอสิ้นใจ ขาดอากาศตาย สาเหตุการตายของเธอคือ Asphuxia การขาดหายใจตาย แล้วก็นำร่างของ เซเลส เอาไปหย่อนไว้ในบ่อน้ำมันบ่อแรก เสร็จปุ๊บเขาเดินกลับเข้ามาในรถ เพื่อจะทำการลงมือสังหารลูกอีกคนคือ น้องเบลล่า อายุ 4 ขวบ มันน่าเศร้าตรงที่ คริสโตเฟอร์ วัตต์ เล่าว่าตอนที่เขาเดินมาที่รถ เปิดรถปุ๊บ เบลล่าพูดกับเขาว่า “หนูจะต้องเป็นเหมือนน้องหนูใช่ไหม” ซึ่งน่าสึกสงสารมากเลย รู้สึกว่าที่ที่มันปลอดภัยที่สุดในโลกนี้ มันไม่มีที่ไหนแล้วนอกจากที่ที่เราอยู่กับพ่อแม่ แต่กลายเป็นว่าคนที่ใกล้ตัวที่สุดคือคนที่อันตรายที่สุด คริสโตเฟอร์ วัตต์ มองข้ามจุดนั้นไปแล้ว และก็ต้องการที่อยากจะลงมือสังหารอย่างเดียว อาจจะเป็นอารมณ์หลายๆอย่าง คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็ได้ทำการเอาผ้าห่มผืนเดิมอุดปาก อุดจมูกลูกเขา และ คำสุดท้ายที่น้องเบลล่าพูดก็คือคำว่า NO DADDY NO หรือ พ่อจ๋าอย่าได้ไหม แล้วสุดท้ายเธอก็เสียชีวิต หลังจากชันสูตรศพน้องเซเลส พบว่าเธอขาดหายใจจริงๆ โดยไม่ได้มีร่องรอยบาดแผลอะไร แต่น้องเบลล่า ก่อนที่จะตายเธอยังสู้เพื่อชีวิตจนวินาทีสุดท้ายของตัวเอง ตอนนั้นเธอจะต้องรู้สึกทรมานมาก คือมีการพบว่ามีการกัดลิ้นตัวเอง กัดเหงือกตัวเอง กัดปากเต็มไปหมด คือคนมันทรมาน แล้วตายแบบนั้น หลังจากนั้นเขาก็นำร่างของน้องเบลล่า เอาไปไม่หย่อนไว้ในบ่อน้ำมันข้างๆบ่อแรก แล้วเขาก็กลับไปทำงานปกติเหมือนไม่มีะไรเกิดขึ้น เพื่อนที่ทำงานบอกว่า คริสโตเฟอร์ วัตต์ ก็มาทำงานเหมือนปกติ เอาที่จริงคนเรามันต้องใจคอขนาดไหน ที่เพิ่งฆ่าครอบครัวตัวเองมาแล้ว ไม่ใช่ฆ่าคนอื่นด้วย ฆ่าคนในครอบครัวมาแล้ว ก็ยังกลับไปทำงานแบบปกติ ไปพูดคุยกับเพื่อนๆปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

และก็มาถึงวันที่จะต้องขึ้นศาลในการพิจารณาคดี มันก็มีทั้งทางฝั่งของคริสโตเฟอร์ วัตต์เนี่ย แล้วก็มีทนายนั่งอยู่ด้วย

มีฝั่งครอบครัวของชาแนน วัตต์ ก็คือมีคุณพ่อ และ น้องชาย มากันทั้งหมดเลย และ ก่อนที่จะทำการตัดสิน ก็จะให้ครอบครัวของผู้เสียหายยังมาพูด คือช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่พีคมาก คือคุณพ่อเขาเนี่ยพูดด้วยความอัดอั้นตันใจมากเขาบอกว่านายมันคือ Evil Monster ไม่ใช่แค่ Monster แค่ Monster ก็แย่อยู่แล้ว อันนี้คือแบบเป็น Evil Monster คือโคตรเลวเลย ในส่วนแม่ของชาแนน วัตต์คือพูดประมาณว่า ครอบครัวเราเนี่ยไว้ใจนายมาโดยตลอด ไว้ใจให้นายดูแลลูกสาว ไว้ใจนายให้ดูแลหลานของเรา แต่สุดท้ายทำไมนายถึงทำอย่างนี้ ส่วนน้องชายก็ได้พูดประมาณว่า นายรู้ไหม นายคือคนที่ทำให้ฉันจะไม่ได้ยินคำว่า ลุงแฟร้งกี้อีกแล้ว ประมาณว่าไม่ได้ยินคำเรียกของเด็กๆอีกแล้ว

หลังจากที่ครอบครัวของฉันมันบอกพูดเสร็จ ก็จะให้เป็นครอบครัวของคริสโตเฟอร์ วัตต์มาพูด ก็คือครอบครัวของฝั่งผู้ร้าย ฝั่งของฆาตกรมาพูด มันเป็นอารมณ์ที่มันก็เศร้า คือสูญเสียทั้งด้านฝั่งภรรยา และลูกชายก็ต้องติดคุก เสียหลานไปด้วย พ่อของคริสโตเฟอร์ วัตต์บอกประมาณว่า “ลูกชาย เรายังรักนายเหมือนเดิมนะ เพราะนายคือลูกของเรา เรารู้ว่าเราเลี้ยงนายมาตั้งแต่เด็กเนี่ยนายเป็นคนยังไง แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว นายก็ต้องรับผิดชอบผลการกระทำของนาย แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ไม่ว่าจะยังไงเราก็ยังรักนายนะ” พ่อของเขาสอนให้เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องลูกกับพ่อก็ยังรักกันเหมือนเดิม

สุดท้ายแล้วคริสโตเฟอร์ ลี วัตต์ ถูกตัดสินให้มีความผิดด้วย 9 ข้อหานั่นก็คือ 3 ข้อหาในการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2 ข้อหาเพิ่มเติมเนื่องจากลูกๆเขาทั้งสองคนเป็นเด็ก และยังเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และ 3 ข้อหาในการปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ และอีก 1 ข้อกล่าวหาก็คือการยุติการตั้งครรภ์โดยผิดกฎหมาย เพราะว่าคริสโตเฟอร์ เขาก็ฆ่าลูกคนที่ 3 ที่กำลังอยู่ในท้องของชาแนน วัตต์ที่อายุครรภ์ได้ประมาณ 15 สัปดาห์ด้วย ด้วยข้อหาทั้งหมดนี้ทำให้ คริสโตเฟอร์ ลี วัตต์ ต้องจำคุกตลอดชีวิต ที่เขาไม่โดนตัดสินประหารชีวิต ได้มีคนวิเคราะห์กันว่า เขาออกมารับผิดชอบว่าเขาได้ฆาตกรรมทั้ง 3 คน ให้ความร่วมมือกับคดี ก็เลยไม่โดนตัดสินประหารชีวิต ก็คือจำคุกตลอดชีวิตแทน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวคดีฆาตกรรมครอบครัววัตต์นั่นเอง

  1. ขอบคุณมากครับ ผมชอบแนวนี้มากครับ ถ้ามีอีกมาเล่าอีกนะครับ จะรออ่าน

  2. อ่านมันส์มากค่ะ รออ่านเรื่องอื่นเหมือนกันค่ะ

  3. ละเอียดมากครับ รออ่านเรื่องต่อไป อย่าลืมมาลงนะครับ

  4. ขอบคุณครับ เรื่องนี้ดูใน netflix ก็สนุก ในกระทู้ให้ข้อมูลละเอียดดีครับ

ช่วยตอบคำถามนี้

ช่วยตอบคำถามนี้